เชื่อว่าทุกคนเคยสงสัยกันมาทั้งนั้นว่าทำไมตัวเลขทางสถิติในเกมการพนันต่างๆที่ดูเหมือนเยอะหรือน้อยกลับไม่ให้ความรู้สึกหรือให้ผลลัพธ์ที่เป็นไปตามค่าดังกล่าวเมื่อคุณทำการเล่นหรือทำการสุ่มด้วยตัวเอง เช่นการที่เราโยนหัวก้อยที่สถิติเขียนบอกไว้ว่ามีโอกาสเกิด 50-50 แต่คุณโยน 10 ครั้งก็ยังได้ด้านใดด้านหนึ่งมากกว่าอีกด้านอยู่ดี หรือการที่คุณแทงตัวเลขตัวเดียวจากทั้งหมด 36 ตัวเลขในกระดานรูเล็ตเป็นจำนวน 36 เกมติดกันแต่ก็ไม่มีซักเกมที่คุณชนะ
ในทางคณิตศาสตร์มีกฎสองข้อที่ใช้อธิบายเรื่องดังกล่าว
[ Law of Averages : เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้จะเกิดขึ้นในที่สุด โดยให้เวลาที่มากพอ ]
[ Law of Large Numbers : ยิ่งจำนวนการสุ่มตัวอย่างมากขึ้น ผลลัพธ์จะยิ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยทางคณิตศาสตร์ ]
กฎสองข้อที่กล่าวมาคือสิ่งที่ให้คำตอบว่าทำไมคุณถึงไม่สามารถเอาชนะเกมที่มีโอกาสชนะ 1% ได้ด้วยการเล่นเป็นจำนวน 100 เกม หรือกลับกันการที่ใครซักคนถูกลอตเตอรี่ด้วยการซื้อเพียงใบเดียวก็เช่นกัน นั่นเป็นเพราะว่าคุณยังเล่นไม่บ่อยพอที่ค่าทางสถิติจะวิ่งเข้าใกล้เหตุการณ์จริงที่แสดงผลออกมา แต่ในทางกลับกันทางคาสิโนสามารถหวังผลกับความได้เปรียบหรือ house edge ที่มีเพียง 1-5% ได้จริงเพราะว่าคาสิโนเล่นการพนันมากกว่าคุณหลายร้อยหลายพันเท่าด้วยระยะเวลาที่เท่ากัน เพราะในมุมมองของผู้ใช้บริการ พวกเขาทำการสุ่มเพียงแค่เกมเดียวในแต่ละครั้ง แต่ในมุมของคาสิโน ในทุกๆการพนัน ทุกเดิมพัน ทุกเงื่อนไข และทุกคนที่เล่นอยู่ในคาสิโนในเวลานั้นจะนับเป็นการสุ่ม 1 ครั้งทั้งนั้น นั่นทำให้คาสิโนทำการสุ่มตัวอย่างที่บ่อยมากพอที่จะคาดหวังผลลัพธ์จากค่าทางสถิติได้
ถ้าหากยังไม่เข้าใจให้ดูตามตัวอย่างดังนี้
– สมมติว่าใน 1 นาที ผู้เล่น 1 คนจะเล่นรูเล็ต 1 ครั้ง
– คาสิโนมีรูเล็ตจำนวน 100 โต๊ะ และมีผู้เล่นโต๊ะละ 5 คน
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลา 10 นาทีในมุมมองของผู้เล่นแต่ละคนคือ พวกเขาทำการสุ่ม 10 ครั้ง
ส่วนในมุมมองของคาสิโนจะเกิดการสุ่มทั้งหมด 5,000 ครั้งภายในเวลา 10 นาที
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผลลัพธ์ที่ทางคาสิโนได้รับจึงวิ่งเข้าหาค่าเฉลี่ยที่คิดไว้ได้เร็วกว่าผู้เล่นและทำให้กำไรค่าสถิติจับต้องได้จริง